วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผลงาน :))

        ภาพวาดของเคลนั้นจัดลำดับได้ยากมาก งานวาดในช่วงแรกๆ ของเขาเป็นภาพภูมิทัศน์ (landscape) ที่วาดด้วยเส้นดินสอที่บ่งบอกถึงอิทธิพลของอิมเพรสชั่นนิซึ่ม

  Paul Klee ,Camel in Rhythmic Wooded Landscape

 Paul Klee ,Landscape with Yellow Birds ,1923


        จนถึงปี 1912 เขาเริ่มผลิตงานที่เป็นภาพร่างลายเส้นขาวดำมากขึ้น แนวความคิดฝันเฟื่อง (Fantasy) และความเยาะเย้ยถากถาง (satire) ที่เด่นชัดผลงานของเขานี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะแบบเอ็กซเพรสชั่นนิซึ่มแห่งศตวรรษที่ 20 เช่นเดียวกับจิตรกรเอกอย่าง Francisco Goya และ William Blake

Paul Klee ,Thinking too much 

Paul Klee ,Mask of fear


        เคลนิยมผสมผสานตัวอักษรและตัวเลขไว้ในภาพเขียนของเขา

Paul Klee ,On a Motif fromt Hamamet ,1914


   Paul Klee ,Insula Dulcamara ,1938

 Paul Klee ,Station L 112

 Paul Klee ,Legend of the Nile

Paul Klee ,Captive


        แต่ก็มีภาพเขียนจำนวนไม่น้อยที่ประกอบด้วยหินประดับโมเสคและเอ็ฟเฟ็คท์แบบอื่น ๆ

 Pual Klee ,Castle and Sun


        ในงานช่วงท้าย ๆ ของเคลมักมีเส้นดำเข้มผสมอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความตายและสงคราม แต่ในภาพวาดสุดท้ายของเขา ชื่อว่า Still Life กลับเป็นภาพที่รวมเอาความสงบเย็นแห่งชีวิตของเขาในฐานะผู้สร้างสรรค์

Pual Klee ,Still Life ,1940 


        เคลเป็นอาจารย์อยู่ที่บาวเฮ้าส์ ซึ่งเป็นสำนักศิลปะเยอรมันที่ก้าวหน้าที่สุด ในช่วงปี 1920-1931 เคลเคยเดินทางไปอาฟริกาตอนเหนือในปี 1914 ซึ่งทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจในการวาดภาพโดยใช้สีสันและมีผลงานที่สุกงอมเต็มที่ ภาพวาดสีน้ำมันและภาพสีน้ำของเขาที่วาดไว้ในช่วงเวลา ศตวรรตที่ 20

 Paul Klee ,Revolving House ,1921

 Paul Klee ,Heroic Rose ,1938

Paul Klee ,Woman in Peasant Dress ,1940

 Paul Klee ,New Harmony ,1936


Paul Klee ,Fire in the Evening ,1929
Paul Klee ,Blaue Nacht ,1937
Paul Klee ,The head of man ,1922
         ต่อมาหลังจากการเดินทางไปอาฟริกาครั้งนั้นแสดงให้เห็นความเป็นเอกของเขาใน การสร้างสีสันที่ละเอียดอ่อน เหมือนฝัน และกลมกลืน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เคลนิยมใช้ในการวาดภาพที่มีองค์ประกอบเชิงราบ กึ่งนามธรรม หรือแม้แต่งานที่ดูเหมือนเป็นหินโมเสคประกอบกัน เช่นงานที่ชื่อว่า Pastoral

 Paul Klee ,Pastoral Rhythms ,1927

Paul Klee ,Pastoral ,1927


         เคลเป็นช่างสเก็ตช์ภาพที่ยอดเยี่ยมที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ดังนั้นงานจำนวนมากของเขาจึงเป็นภาพวัตถุที่ร่างลายเส้น ที่ดูเหมือนฟุ้งออกมาจากความฝัน เคลอธิบายเทคนิคการร่างภาพแบบนี้ว่า เป็นการคุยด้วยลายเส้น

 Paul Klee ,Inspired Fantasy Line

Paul Klee ,Bauhaus ,1921
 
Paul Klee ,The Twittering Machine ,1922


       หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เคลสอนศิลปะในสำนักเบาเฮ้าส์ (the Bauhaus school) ถึงปี 1930 เขาเริ่มสอนที่ Dusseldorf Academy แต่ถูกให้ออกโดยกลุ่มนาซี ซึ่งมองว่า ผลงานศิลปะของเขานั้น "เป็นสิ่งที่ตกต่ำ" ในปี 1933 เคลย้ายไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์
       ภายหลังปี 1935 เคลล้มป่วยด้วยโรค scleroderma สุขภาพของเคลย่ำแย่ลงเพราะโรคผิวหนังและกล้าวเนื้อ ทำให้ผลงานของเขามีลักษณะแบบราบ (ขาดความลึก) และมักจะมีเส้นหนาๆ ดำๆ เขียนด้วยดินสอประกอบในภาพที่มีสีสันของเขา ขณะเดียวกันเนื้อหาของภาพของเขาในช่วงนี้กลับดูหดหู่และน่าเศร้ายิ่งขึ้น เช่นภาพที่ดูเหมือนฝันร้ายที่ชื่อว่า Death and Fire

Paul Klee ,Death and Fire ,1940

 
       เคลเสียชีวิตที่เมืองมูรัลโต้ (Muralto) ในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันนี้ ๒๙ มิถุนายน 1940 ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อจิตรกรแบบ surrealist and nonobjective ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 และถือเป็นจุดกำเนิดของการเติบโตของ abstract expressionist movement


 

ประวัติ :))

       
       Paul Klee เป็นจิตรกรชาวสวิสที่วาดทั้งภาพสีน้ำ สีน้ำมัน และภาพลายเส้น ถือว่าเป็นมาสเตอร์แห่งภาพวาดสมัยใหม่ที่สร้างสรรค์งานของตัวเองตามความคิด ฝัน ตามไหวพริบ และจินตนาการของตัวเอง
       กำเนิดเป็นชาวเยอรมันที่เมือง Münchenbuchsee เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1879 พ่อของเขาชื่อ Hans Klee เป็นคุณครูสอนดนตรีชาวเยอรมัน และแม่ชื่อ Ida Frick เป็นนักร้อง และย้ายไปอยู่เมือง Munich ในปี 1879 โดยได้ไปศึกษาศิลปะที่โรงเรียนเอกชน และที่ Munich Academy เคลโตขึ้นมาในครอบครัวนักดนตรี และตัวเองก็เป็นนักเล่นไวโอลินด้วย เรียกว่า เป็นทั้งจิตรกร ทั้งนักดนตรี แม้ว่าจะเติบโตมากับเสียงดนตรี สุดท้ายเคลก็เลือกที่จะเรียนศิลปะ และเข้าเรียนที่ Munich Academy ดังที่กล่าวไปแล้ว ในปี 1900



       เมื่อถึงปี 1906 เคลแต่งงานกับนักเปียโนสาวชื่อว่า Lili Stumpf และย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองมิวนิค ก่อนจะไปอยู่ที่ศูนย์ศิลปะแบบ avant-garde art เคลเข้าร่วมกลุ่ม Der Blaue Reiter (หรือ The Blue Rider) ซึ่งเป็นกลุ่มจิตรกรแบบเอ๊กเพรสชั่นนิสต์ที่ร่วมรังสรรค์งานศิลปะแบบแอบสแตร็กท์

        *** "Avant-garde" หรือ "ศิลปะกลุ่มก้าวหน้า" ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงในวงการศิลปะตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศิลปะกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกระแสหลักและเป็นตัวแทนของ "ศิลปสมัยใหม่" หรือ "Modern Art"